Work at Home ไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวอีกต่อไปแล้ว นวัตกรรมของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบของการทำงานในระบบองค์กร
โดยเริ่มจากรูปแบบของ Paperless Office, Mobile Office จวบจนเป็น Virtual Office ในสถานการณ์ภัยพิบัติ เช่น ปัจจุบัน Work at Home และ Virtual Office ได้กลายมาเป็นยุทธวิธีที่สำคัญ เพื่อคงประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนองค์กร พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศได้เพิ่มโอกาสของการทำงานอย่างไม่จำกัดสถานที่
สำหรับผู้ที่ประสบปัญหาอุทกภัยและไม่สามารถเข้าถึงสถานที่ขององค์กรได้ Work at Home หรือจากสถานที่อื่นๆ ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่หลายองค์กรได้เริ่มศึกษาแนวทางนี้และรูปแบบอื่นของการทำงานนอกสถานที่ เพื่อขับเคลื่อนและคงประสิทธิภาพขององค์กรในช่วงเวลานี้
อย่างไรก็ดี Work at Home หรือรูปแบบอื่นของการทำงานนอกสถานที่ ได้แก้ไขเพียงด้านเดียวสำหรับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงอุทกภัย นั่นคือการไม่สามารถเข้าถึงสถานที่ ปัญหาที่สำคัญกว่านั้น คือที่ตั้งขององค์กรมักเป็นจุดศูนย์กลางของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน นอกเหนือจากการปฏิบัติงานต่างๆ ที่อาจชะงักงันและสินทรัพย์ที่อาจถูกทำลาย ภัยพิบัติที่เข้าถึงสถานที่ตั้งกลับสามารถหยุดชะงัก หรือทำลายระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และส่งผลโดยตรงต่อการขับเคลื่อนและประสิทธิภาพขององค์กร ทั้งนี้ รวมถึง Work at Home หรือรูปแบบอื่นของการทำงานนอกสถานที่ ที่ต้องหยุดชะงักลงด้วย เนื่องจากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันอาจมีลักษณะเป็น Single Point of Failure ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว มีที่ตั้งอยู่ในสถานที่ขององค์กร
การปกป้องระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สมบูรณ์แบบ อาจต้องอาศัย Cloud Computing ซึ่งมีเอกลักษณ์คือ การกระจายโครงสร้างพื้นฐานไปอยู่บน Cloud ซึ่งหมายถึง Data Centers ที่มี Redundancy อยู่ทุกมุมโลก ในตัวอย่างของ Amazon ผู้ให้บริการ Cloud Computing อันดับหนึ่งของโลก ที่ให้บริการ Cloud ในรูปแบบของโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructures) ได้แบ่งพื้นที่ของการให้บริการออกเป็น 7 Regions กล่าวคือ US East (Northern Virginia), US West (Oregon), US West (Northern California), EU (ไอร์แลนด์), Asia Pacific (สิงคโปร์) และ Asia Pacific (โตเกียว)
ในแต่ละ Region ยังแบ่งออกเป็น 3-4 Availability Zones ซึ่งเปรียบเสมือน Data Centers ขนาดใหญ่ ที่แยกจากกัน ข้อได้เปรียบของการใช้ Amazon คือความสามารถที่จะกระจายความเสี่ยงไปยัง Data Centers ทั่วทุกมุมโลก
นอกจากนี้ Cloud Computing ของ Amazon ยังเปิดโอกาสให้ย้ายระบบหรือข้อมูลระหว่าง Data Centers ภายในชั่วพริบตา โดยทุกอย่างสามารถควบคุมได้จากหน้า Web Pages ทั้งนี้ หาก Data Center ในสิงคโปร์ ประสบปัญหาของการให้บริการ ผู้ใช้ก็ยังสามารถย้ายทั้งระบบและข้อมูลผ่าน Internet ไปที่ Data Center ในโตเกียว โดยเกือบไม่มีการหยุดชะงักของการให้บริการ
Cloud Computing อื่นๆ เช่น Office 365 ของ Microsoft และ iCloud ของ Apple เป็นการให้บริการ Cloud ในรูปแบบของบริการ (Services) โดยที่ให้บริการ Microsoft Office และ iTunes จาก Cloud หรือ Data Centers ของ Microsoft และ Apple ที่มีการทำ Redundancy อยู่ทุกมุมโลกเช่นกัน
อย่างไรก็ดี Office 365 และ iCloud เป็น Cloud ระดับบริการ แตกต่างจาก Amazon ซึ่งเป็น Cloud ระดับโครงสร้างพื้นฐาน Amazon มีความยืดหยุ่นและแสดงรายละเอียดให้กับผู้ใช้มากกว่า ในภาวะภัยพิบัติ ผู้ใช้อาจต้องบริหารจัดการเอง เพื่อโยกย้ายระหว่าง Data Centers ภายใน Cloud ในทางกลับกัน Office 365 และ iCloud ไม่เปิดรายละเอียดของโครงสร้างพื้นฐานให้กับผู้ใช้ แต่เป็นความรับผิดชอบของ Microsoft และ Apple เอง ที่จะบริหารจัดการในภาวะภัยพิบัติ เพื่อมิให้มีการหยุดชะงักของบริการ
Cloud Computing ทั้งในรูปแบบของโครงสร้างพื้นฐานและบริการ ปลดภาระให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งจำเป็นต้องมีสถานที่ตั้งและการบริหารจัดการ จนเกิดเป็นความเสี่ยง Single Point of Failure ของทั้งองค์กรได้ ผู้ให้บริการ Cloud เช่น Amazon, Microsoft และ Apple กลับมีความได้เปรียบในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการระดับโลก จึงมี Economy of Scale ที่จะสามารถกระจายความเสี่ยงไปทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเว้นแต่จะมีสถานการณ์ภัยพิบัติระดับโลก หรือมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องยาก ที่ Cloud Computing เหล่านี้ จะมีการหยุดชะงักของการให้บริการ
สืบเนื่องจากบทความที่แล้ว ที่กล่าวถึง Internet ซึ่งถูกออกแบบเป็นเทคโนโลยีของการสื่อสาร ที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ Work at Home และรูปแบบอื่นของการทำงานนอกสถานที่ โดยเชื่อมโยงผ่าน Internet ได้มาเป็นยุทธวิธีที่สำคัญสำหรับการขับเคลื่อนองค์กรและรักษาประสิทธิภาพระหว่างสถานการณ์ภัยพิบัติ
อย่างไรก็ดี สถานที่ตั้งขององค์กร ยังเป็น Single Point of Failure ของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่อาจต้องถูกทำลายหรือหยุดชะงักเมื่อเกิดภัยพิบัติ Cloud Computing จึงเป็นทางออกที่สำคัญ ซึ่งมีเอกลักษณ์คือการกระจายความเสี่ยงโดยอาศัย Economy of Scale ของความเป็นผู้ให้บริการระดับโลกเช่น Amazon, Microsoft และ Apple
ทั้งนี้ จะสามารถประคับประคองระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนขององค์กรให้ผ่านภาวะภัยพิบัติไปได้ และเป็นการอาศัยประโยชน์จากปรับเปลี่ยนรูปแบบของการทำงานในระบบองค์กรด้วยเทคโนโลยีเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างแท้จริงและครบวงจร